19 เมษายน 2552
ย้ายเว็บไซต์
ท่านสามารถเข้าบล็อกผมได้ผ่านทาง http://www.clinicalepi.com ครับ (จำง่ายดีมั้ยครับ ;) ) ทุกท่านสามารถเข้าทางเดิมก็ได้ หรือทางที่อยู่ใหม่ก็ได้ครับ
16 เมษายน 2552
เขียน Reference ด้วย Zotero
การเขียน Reference นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการเขียนเอกสารทางวิชาการในปัจจุบันครับ เนื่องจากถ้าเราไม่มีที่มาอ้างอิงแล้ว ข้อมูลที่เรายกขึ้นมาลอยๆ นั้นอาจจะดูไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังไม่ให้ความเคารพแก่เจ้าของความคิดเดิมด้วยในบางกรณี แต่หลายท่านคงจะเบื่อที่จะต้องมานั่งเขียนที่มาเองเหมือนเด็กมัธยม วันนี้ผมขอเสนอวิธีช่วยงานด้วยโปรแกรม Zotero ครับ
โปรแกรม Zotero (อ่านว่า zoh-TAIR-oh) นั้นถูกพัฒนาขึ้นด้วยความสนับสนุนจาก George Mason University ครับ โดยก่อนหน้าที่จะมีโปรแกรมนี้ขึ้นมานั้น ผู้คนส่วนใหญ่มักใช้โปรแกรมอื่น เช่น EndNote (เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้กันอยู่) แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าโปรแกรมพวกนี้มันไม่ฟรี ต้องเสียเงิน นอกจากนี้ยังใช้งานลำบากพอสมควร (เพราะมีมาตั้งแต่อินเทอร์เน็ตยังไม่ฮิต หาเปเปอร์ต้องวิ่งหาห้องสมุด) ก็เลยได้พัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นมา
หลักการของโปรแกรมนี้เหมาะมากสำหรับการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตครับ โดยโปรแกรมนี้จะฝังตัวเป็นส่วนเสริมไปกับโปรแกรมเล่นอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อว่า Firefox (ไม่รู้ว่ารู้จักกันหรือเปล่า แต่พูดง่ายๆ คือเป็นโปรแกรมเปิดอินเทอร์เน็ตอันนึง นอกเหนือจาก Internet Explorer หรือตัว e สีฟ้าที่นิยมใช้นะครับ) เวลาเราไปเจอเปเปอร์ไหนน่าสนใจ หรือแม้แต่เจอหน้าอินเทอร์เน็ตไหนน่าสนใจ ก็เพียงคลิ๊กที่ไอค่อน มันก็จะทำการแยกแยะให้เราเสร็จว่าเปเปอร์นั้นคนเขียนชื่ออะไร ลงใน Journal ไหน ปีไหน ในฐานข้อมูลส่วนตัวของเราให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเวลาเราจะเอาไปใส่ใน Word ก็เพียงคลิ๊กเดียวอีกเช่นกัน
อะไรมันจะสะดวกปานนั้นใช่ไหมครับ งั้นเราลองกันเลยดีกว่า
ขั้นแรก ก็ให้ติดตั้งโปรแกรม Firefox ตัวหลักก่อน บางท่านอาจจะลงไว้แล้ว แต่ถ้ายังไม่ได้ลง ให้เข้าไปที่ http://www.getfirefox.com นะครับ แล้วก็ดาวน์โหลดมา หลังจากนั้นทำตามขั้นตอนดาวน์โหลดจนเสร็จ (มีเป็นภาษาไทยด้วย) ถ้างง ไม่เข้าใจ ลองอ่านอธิบายวิธีติดตั้งเป็นภาษาไทยโดยละเอียดที่ http://www.mhafai.com/2007/06/firefox-installation-guide นะครับ
พอติดตั้งเสร็จ เปิด Firefox ขึ้นมาก็จะเป็นแบบนี้ครับ:
วิธีการก็เหมือนกันกับการท่องอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปครับ พิมพ์ที่ๆ จะไปด้านบน แต่วันนี้เราจะลงส่วนเสริม Zotero กัน เพราะฉะนั้นก็ไปเลยที่ http://www.zotero.org
หลังจากนั้นแล้ว ให้คลิ๊ก download ด้านขวาบนเพื่อติดตั้ง Zotero ลงใน Firefox ครับ (แนะนำว่าให้ใช้รุ่น 1.0 ก่อนเนื่องจากรุ่น 1.5 นั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ครับ
หลังจากคลิ๊กถ้ามีช่องเหลืองๆ ด้านบนขึ้นมาถามว่ายอมให้ติดตั้งหรือเปล่า ก็ให้กด ยอมไปครับ
รอสักพัก จะขึ้นว่า ต้องการติดตั้งจริงๆ นะ ก็ให้ติดตั้งไปเลยครับ
หลังจากนั้นโปรแกรมจะทำการดาวน์โหลด Zotero มาใส่ใน Firefox ให้โดยอัตโนมัติครับ (ประมาณ 1 เมกะไบต์กว่าๆ) และเมื่อโหลดเสร็จก็จะให้เราเริ่ม Firefox ใหม่ครับ ก็คลิ๊กเลย
พอเปิดมาใหม่ ทีนี้ทุกหน้าต่างของ Firefox ก็จะมีไอคอน zotero อยู่มุมขวาล่างแล้วครับ
ทีนี้ก็มาถึงวิธีการใช้อย่างจริงจังแล้วครับ จะลองคลิ๊กไอคอนนั้นเข้าไปดูกันเลย (คลิ๊กคำว่า zotero เพื่อเปิดหรือปิดหน้าจอของ Zotero)
ตรงด้านซ้ายนี้จะเป็นรายการที่เราสามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้ครับ เช่น ผมมีเรื่องสนใจด้านหูคอจมูก ก็แยกหูไว้โฟลเดอร์นึง จมูกไว้อีกอันนึง เป็นต้น แต่จะไม่แยกเป็นหมวดหมู่ก็ได้ ทุกอันก็จะไปกองกันอยู่ตรง Library หมด ส่วนตรงการนั้นจะเป็นรายการทั้งหมดในโฟลเดอร์ที่มีในขณะนั้นครับ และด้านขวานั้นจะเป็นรายละเอียดของตรงกลางที่ได้เลือกเอาไว้ครับ
เอาละครับ คราวนี้ถึงเวลาเพิ่มเปเปอร์ลงไปใน Library กันแล้ว ผมขอลองกับเว็บไซต์เดิมๆ ละกัน สมมุติว่าผมหาคำว่า ‘tinnitus’ ใน PubMed โดยใช้ MeSH Term อยู่ (ใครงงว่า MeSH Term คืออะไรกรุณาอ่านที่ผมเขียนไว้คราวก่อนนะครับ
สมมติว่าผมสนใจอันที่สอง ก็เลยคลิ๊กเข้าไปอ่านดู
แล้วก็พบว่ามันใช่เลย! ผมต้องการอันนี้แหละ ที่จะไปใส่ใน Reference ของบทความใหม่ของผม ผมก็เลยคิดว่าจะเอามันไปใส่ใน Library วิธีการง่ายนิดเดียวครับ คือรอให้มันมีไอคอนปรากฎอยู่ข้างๆ แถบรายการข้างบน แล้วก็คลิ๊กตรงรูปเอกสารเล็กๆนั่นแหละ:
Zotero ก็จะแจ้งขึ้นมาว่ามันกำลังเอาเข้าไปใน Library อยู่ รอสักครู่แล้วเช็คดูว่ามันเข้าไปได้ดีหรือเปล่า เพียงเท่านี้เป็นอันจบพิธีครับ จะเห็นว่าเข้าไปอยู่ใน Library เรียบร้อย แล้วก็กรอกตามช่องให้เสร็จเลยด้วย!!
นอกจากนี้เวลาที่มันเป็นรายการหลายๆ อันในหน้าเดียว มันก็ยังจะขึ้นเป็นรูป Folder ให้เราเลือกได้ด้วยนะครับ เช่น ตอนที่เราเห็นผลการค้นหาใน PubMed หลายๆ อัน จะเอาอันไหนก็ติ๊กเลย
เวลาเราต้องการใส่ Citation นั้นเราสามารถคลิ๊กขวาใน Library (จะเลือกหลายๆ อันก็ได้ ให้กด Ctrl ค้างไว้แล้วเลือกหลายๆ อัน) แล้วเลือก Create Bibliography from Selected Items
แล้วเลือกว่าต้องการแบบไหน (โดยปกติที่นิยมใช้กัน แนะนำแบบ Vancouver ครับ หรือแบบอื่นๆ ก็มีเช่นของ NLM, AMA) แล้วก็เลือกว่าจะเอาออกไปที่ไหน ถ้าจะเอาไป Paste ในที่อื่น เช่นเขียนลงบล็อกก็เลือก Clipboard เพียงเท่านี้ ก็เสร็จแล้วครับ .. เฮ้ย อะไรมันจะง่ายปานนั้น!
เท่านี้ยังไม่พอนะครับ เนื่องจากว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปตัดแปะประกอบการเขียนลงบล็อกแบบผมซะที่ไหน ส่วนมากเขาก็เอาไปประกอบเปเปอร์ตัวเองกันทั้งนั้น แล้วคนส่วนใหญ่ก็ใช้ Word เวลาพิมพ์ไปพิมพ์มาเดียวก็แก้ ย้าย Reference ไปไว้บทแรกมั่ง บทหลังมั่ง บรรทัดก่อนหน้าบ้าง บรรทัดสุดท้ายบ้าง ครั้นจะมานั่งเลือกแต่ละอันทีละ 1 2 3 คงลำบาก แต่ไม่ต้องห่วงครับ ถึงแม้คุณจะใช้ Word คุณก็สามารถใช้ Zotero ติดตามไปได้ด้วย!
เพียงแค่เข้าไปที่เว็บ Zotero ตามเคยครับ มองถัดมาล่างๆ หน่อย จะมีคำว่า Cite from within Word and OpenOffice เพียงคลิ๊กเข้าไปก็จะมีให้ดาวน์โหลดส่วนเสริมสำหรับ Microsoft Word แล้วครับ (ลิงก์มันอยู่ล่างๆ หน่อยนะครับ)
เมื่อโหลดมาลงเสร็จแล้วนั้นเวิร์ดของเราจะปรากฎไอคอนขึ้นมาแถบนึงครับ (แบบของ Word XP, 2003, 2007 อาจต่างกันเล็กน้อยนะครับ)
โดยถ้าเราต้องการใส่อันไหนลงไปใน Word เราก็คลิ๊กไอคอนแรกครับ (ครั้งแรกที่เริ่มใส่ มันจะถามก่อนว่าจะใส่แบบไหน เช่นเคยแนะนำ Vancouver ครับ) แล้วก็จะปรากฎหน้าคล้ายๆ ใน Library ขึ้นมา ก็เพียงแค่เลือกแล้วกด OK เท่านั้นครับ
จะใส่ก็อันก็ได้ครับ ตามสบายเลยครับ และถ้าต้องการปิดท้ายด้วยการใส่ Citation ทั้งหมด ก็เพียงคลิ๊กปุ่มที่สามครับ ก็จะมาให้เรียบร้อย
ถ้ามีการโยกย้ายที่เราทำ Citation เอาไว้ ตัวเลขมันจะไม่เปลี่ยนตาม ให้คลิ๊กที่ปุ่มรูปลูกศรทีนึงเพื่อให้มันเปลี่ยนตามครับ
นอกจากจะเอารายการเข้าผ่านทาง PubMed แล้ว เราก็ยังเอาเข้าได้จากเว็บอื่นๆ ด้วยครับ นอกจากนี้แล้วยังใส่รายการได้เองด้วย ลองเล่นๆ ดูได้ครับ แต่ที่ผมใช้ประจำก็จาก PubMed นี่หละ
หวังว่าคงจะมีประโยชน์บ้างนะครับ อย่าลืมนะครับ การที่ไม่ได้ Cite ที่มาของข้อมูลนั้นนอกจากจะทำให้เปเปอร์เราไม่มีน้ำหนักแล้วยังจะไม่ให้เกียรติคนที่เขียนให้เราอ่านกันด้วยครับ ขอให้โชคดีครับ
03 เมษายน 2552
Incidence and Prevalence
วันนี้ผมขอคั่นด้วยเรื่องง่ายๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบนะครับ คือเรื่องของ Incidence และ Prevalence เพราะหลายคนอาจจะสับสนกันบ่อยว่ามันคืออะไร ต่างกันยังไง
มาดูคำง่ายกันก่อน นั่นคือ Prevalence คำนี้ความหมายไม่ยากครับ มันก็คือสัดส่วนของคนที่เป็นโรคที่เราสนใจในคนทั้งหมดนั่นเอง หรือภาษาชาวบ้านก็คือ โรคนี้มันเป็นกันกี่ % เช่น เราบอกว่า ในคนไทยมี prevalence ของโรคเบาหวาน 20% ก็หมายความว่า ถ้า ณ วันนี้เอาคนไทยมา 100 คนแบบสุ่มๆ จะพบว่ามีคนเป็นเบาหวาน 20 คนนั่นเอง อันนี้คิดว่าทุกคนคงจะเข้าใจกันดีนะครับ ที่มาของตัวเลขนี้ส่วนมากก็เกิดจากการทำการศึกษาแบบ Cross-sectional นั่นเอง เช่น กระทรวงสาธารณสุขให้โรงพยาบาลทั้งประเทศรายงานจำนวนคนที่เมาในคนที่มารพ. เป็นต้นครับ
สังเกตุว่าเนื่องจากเป็น Cross-sectional มันก็จะเป็นที่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา จึงไม่จำเป็นจะต้องเอาเวลามาเกี่ยวข้องกับการคิด หรือหน่วยเลยครับ ลองดูรูปภาพนี้นะครับ
สังเกตว่า Prevalence ก็คือการตัดเอาที่จุดเวลา ถ้าผมเลือกว่าจุดเวลาของผมคือ 2003 ดังนั้นผมก็ไม่ต้องสนใจเวลาอื่น Prevalence ของคนสีแดง (ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะ) = 3 ในคนทั้งหมด 7 คน หรือคิดเป็น 3/7 = 0.43 หรือ 43% นั่นเองครับ
ลองคิดดูนะครับว่าจากรูปดังกล่าว Prevalence ของคนสีแดงที่ปี 2005 เป็นเท่าไหร่
.
.
.
เฉลย คือ 3/7 เหมือนกันนะครับ
นอกจากคำว่า Prevalence ที่ใช้โดยทั่วไปแล้ว ยังมีคำว่า Point Prevalence, Prevalence Proportion, Prevalence Rate ซึ่งต่างก็หมายถึง Prevalence เหมือนกันทั้งหมดครับ (ดังนั้นก็จำคำว่า Prevalence อย่างเดียวก็น่าจะพอ)
ในทางกลับกัน คำว่า Incidence นั้นมีที่มาจากการศึกษาแบบ Cohort ดังนั้นจึงมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยหมายถึง จำนวนเคส ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เราตามไปศึกษานั่นเอง ยกตัวอย่างรูปเดิมนะครับ
สังเกตุว่าเมื่อเราตามคนที่มีโอกาสเสี่ยงจะเป็นโรค (Population at risk -- ซึ่งแน่นอนคนที่เป็นโรคไปแล้วเราก็ไม่คิด) ไปเป็นระยะเวลา 20 คนปี เราจะเจอเคสใหม่ 2 เคส หรือเราอาจบอกว่าเจอ 2 เคสใน 20 คนปีก็ได้
ทำไมต้องเป็นหน่วย คนปี? เพราะว่ามันจะช่วยเราในการเอาไปเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ศึกษาในจำนวนคนหรือปีต่างกันครับ เช่น แทนที่จะศึกษา 5 คนใช้เวลา 4 ปีแบบตัวอย่าง เราอาจจะศึกษา 10 คนในเวลา 2 ปี ก็ได้ 20 คนปีเหมือนกันเลย
ดังนั้น ตามคน 5 คนไป 4 ปี พบ 2 เคส ก็ = 2/20 = 0.1 Case/person-year
ตามคน 10 คนไป 2 ปี พบ 2 เคส ก็ = 2/20 = 0.1 Case/person-year
ตามคน 100 คนไป 0.2 ปี พบ 2 เคสก็ = 2/20 = 0.1 Case/person-year เหมือนกันหมด
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นว่า มันจะมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเองครับ ดังนั้นเวลาไปใช้ที่ไหน ใช้ให้ถูกหน่อยนะครับ Prevalence ไม่ต้องมีหน่วยของเวลา แต่ถ้า Incidence นั่นต้องมีแน่ๆ อย่าใช้สับสนกันนะครับ